พระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา๓๖ ระบุว่าผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ต้องรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสัตวแพทย์ ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสัตวแพทยสภา ในข้อเท็จจริง ได้มีการกำหนด “จรรยาบรรณสัตวแพทย์” มาก่อนที่มีพระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ.๒๕๔๕ ประกาศใช้ เรียกว่าประมวลจรรยาบรรณสัตวแพทย์ของสัตวแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ.๒๕๑๖ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติของผู้ประกอบอาชีพสัตวแพทย์ ประมวลจรรยาบรรณสัตวแพทย์ฉบับนี้ ได้รับการรวบรวมไว้กับกฏหมายที่ควรรู้ โดยสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ แจกจ่าย ให้สมาชิกเพื่อให้สัตวแพทย์ตระหนักและเป็นแนวทางปฏิบัติ ประมวลจรรยาบรรณสัตวแพทย์ฯ กำหนดไว้ทั้งหมด ๔๗ ข้อ แยกเป็น ๕ หมวด คือ
๑. ฐานันดรและศักดิ์ศรีของอาชีพสัตวแพทย์ กล่าวถึง ความรับผิดชอบ ความประพฤติ หน้าที่ การโฆษณา คำนำหน้าชื่อ การให้บริการที่ตั้งสถานพยาบาลสัตว์รวม ๒๐ ข้อ
๒. ความสัมพันธ์ในระหว่างผู้ประกอบอาชีพสัตวแพทย์ กล่าวถึง จริยธรรมของผู้ประกอบอาชีพสัตวแพทย์ ความรับผิดชอบของสถาบันการศึกษาวิชาชีพสัตวแพทย์ มารยาทในการเริ่มงานวิชาชีพ การร่วมทำธุรกิจ การให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง รวม ๑๔ ข้อ
๓. การใช้ปริญญาและคำอธิบาย กล่าวถึงการใช้คำนำชื่อ ต้องไม่พึงปฏิบัติในการให้ผู้อื่นประกอบวิชาชีพ รวม ๔ ข้อ
๔. ความสัมพันธ์ระหว่างนายสัตวแพทย์กับบุคคลธรรมดา กล่าวถึง การไม่พึงปฏิบัติในการประกอบวิชาชีพภายใต้การนำของบุคคลธรรมดา รวม ๓ข้อ
๕. ผู้ประกอบอาชีพสัตวแพทย์กับกฎหมาย กล่าวถึง ข้อกำหนดทางกฎหมาย รวม ๖ข้อ
ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์หรือผู้ประกอบอาชีพสัตวแพทย์ ได้ยึดถือประมวลจรรยาบรรณสัตวแพทย์ฯ ดังกล่าวเป็นแนวทางปฏิบัติตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้เป็นการมีจิตสำนึกของบุคคล ที่จะคำนึงถึงประโยชน์แห่งสุขภาพสัตว์ เจ้าของสัตว์ และสวัสดิภาพแห่งเพื่อนมนุษย์ อันจะนำมาซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีของวิชาชีพ การควบคุมการบำบัดโรคสัตว์เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ.๒๕๐๕ และเป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว
เมื่อพระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ.๒๕๔๕ ประกาศใช้ จึงให้ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการบำบัดโรคสัตว์ พ.ศ.๒๕๐๕ และกำหนดให้มีสัตวแพทยสภา ทำหน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ควบคุมความประพฤติและการดำเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสัตวแพทย์ สัตวแพทยสภาจึงมีหน้าที่กำหนดข้อบังคับสัตวแพทย-สภาที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เป็นข้อบังคับสัตวแพทยสภาว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ.๒๕๔๖ ในข้อบังคับดังกล่าวแยกไว้เป็น ๕ หมวด ได้แก่
หมวด ๑ ความประพฤติทั่วไปของผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์
หมวด ๒ การประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์
หมวด ๓ การปฏิบัติต่อผู้ร่วมวิชาชีพ
หมวด ๔ การโฆษณาการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์
หมวด ๕ การทดลองในสัตว์ และข้อบังคับสัตวแพทยสภาว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสัตวแพทย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๘ กล่าวถึง
หมวด ๖ การปฏิบัติงานเกี่ยวกับสถานพยาบาลสัตว์ส่งท้าย
ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ เป็นผู้ที่เจ้าของสัตว์ยกย่องนับถือและไว้วางใจให้มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ของเขา ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ จึงมีความจำเป็นจะต้องช่วยกันผดุงรักษาเกียรติความดีงาม และความเหมาะสมไว้ให้ได้สมกับที่สังคมยกย่อง อย่างไรก็ตามผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ก็คือปุถุชนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคมในระบบเดียวกันกับบุคคลทั่วไป หากไม่มีระบบ กรอบเกณฑ์ จรรยาบรรณ คุณธรรม และจิตสำนึก เป็นแนวทางปฏิบัติก็อาจมีโอกาสประพฤติไม่เหมาะสมได้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ จำกัดสิทธิและเสรีภาพของการประกอบวิชาชีพ เป็นการเฉพาะและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบวิชาชีพควบคุมดูแลกันเองในการรักษามาตรฐานเชิงวิชาการของวิชาชีพและการรักษาจรรยาบรรณ โดยมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ ให้มีองค์กรควบคุมในรูปของสภาวิชาชีพ ตามที่อัครพงษ์ (๒๕๔๖) อธิบายไว้ในตรรกแห่งวิชาชีพ ซึ่งนอกจากผู้ประกอบวิชาชีพจะดูแลกันเองแล้ว ยังถูกตรวจสอบได้จากประชาชนผู้มารับบริการผู้ประกอบวิชาชีพ
นอกจากนี้ เจษฎา (๒๕๔๘) กล่าวถึงผลกระทบจากการผิดจรรยาบรรณว่า หากมีสัตวแพทย์คนใดคนหนึ่งประพฤติผิดจรรยาบรรณแล้ว อาจทำให้คนในสังคมเกิดความระแวง ขาดความเชื่อมั่นไม่ไว้ใจในสัตวแพทย์อาจเกิดความรังเกียจและดูถูกสัตวแพทย์ทุกคน เปรียบเหมือนคำโบราณที่ว่า “ปลาเน่าตัวเดียวในข้อง ทำให้เหม็นไปทั้งข้อง” สัตวแพทยสภาจึงมีหน้าที่หยิบปลาเน่าออกจากข้อง เพื่อมิให้ปลาดีที่อยู่ในข้องต้องเน่าเหม็นไปด้วย สัตวแพทยสภายังมีหน้าที่จะต้องปกป้องผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ที่ประพฤติตนอยู่ในกรอบจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่อาจถูกกลั่นแกล้งจากผู้ไม่หวังดีบางคน เพื่อที่ให้คนดีสามารถดำรงชีพในสังคมนี้ต่อไปหากผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันทำหน้าที่ควบคุมดูแลจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเข็มแข็งแล้ว หลักการปกครองดูแลกันเองย่อมคงอยู่ตลอดไป ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์และประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ จรรยาบรรณวิชาชีพจึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้ประกอบการในวิชาชีพนั้นๆ